Skip to content
Close

Request a Demo

*Required

Terms of Use:

Your personal information will be collected and used to provide newsletters, updates, and messages regarding our products and services.

Privacy Policy:

For detailed information on how we handle personal information, please refer to the following link: Uzabase Privacy Policy

heart

Thank you for reaching out!

We will get back to you as soon as possible.

We will review your application and get back to you soon.
If you have any questions,
please feel free to contact us.

divider email speeda.sea@uzabase.com

Follow our Linkedin Page !

linked in

Our latest updates on
ASEAN reports and webinars are posted here.

Thai

คู่มือวิเคราะห์การเข้าซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ (Leveraged Buyout – LBO)

ทำความเข้าใจแบบจำลองการเข้าซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ (LBO)

การเข้าซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ (Leveraged Buyout – LBO) เป็นวิธีการทางการเงินที่ใช้ในการเข้าซื้อกิจการเป็นหลัก โดยอาศัยเงินทุนจากการกู้ยืมในสัดส่วนที่สูง ซึ่งโดยทั่วไปมักดำเนินการโดยบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity – PE) ในการทำธุรกรรมลักษณะนี้ สินทรัพย์ของบริษัทที่ถูกซื้อและสินทรัพย์ของบริษัทผู้ซื้อจะถูกใช้เป็นหลักประกันสำหรับเงินกู้ ลักษณะเด่นของ LBO คืออัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่สูง (High Leverage Ratio) ซึ่งมักจะอยู่ที่ประมาณ 90% ของหนี้สินต่อ 10% ของส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพิงเงินทุนจากการกู้ยืมมากกว่าการลงทุนโดยตรงจำนวนมาก

ทำไมจึงต้องใช้ LBO?

LBO มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่ต้องการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่โดยไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล โมเดลนี้ช่วยให้สามารถเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขยายขนาดอย่างรวดเร็ว การใช้ LBO ในเชิงกลยุทธ์สามารถพบเห็นได้ในหลากหลายสถานการณ์ เช่น การนำบริษัทมหาชนออกจากตลาดหลักทรัพย์ การแยกธุรกิจบางส่วนออกจากธุรกิจเดิม หรือการโอนย้ายความเป็นเจ้าของในกิจการเอกชนขนาดเล็ก เนื่องจากการลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นในตอนเริ่มต้นมีจำนวนน้อย ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Returns on Equity) จึงอาจสูงมากหากบริษัทที่เข้าซื้อยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีหลังการเข้าซื้อกิจการ นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการใช้โมเดล LBO

|  การประเมินความเป็นไปได้ทางการเงิน:

โมเดล LBO ช่วยในการพิจารณาว่าโครงสร้างทางการเงินของการเข้าซื้อกิจการจะสามารถรองรับภาระหนี้สินตลอดช่วงระยะเวลาการลงทุนได้หรือไม่ ซึ่งรวมถึง:

  • การชำระหนี้ (Debt Servicing): การประเมินว่ากระแสเงินสดของบริษัทเป้าหมายเพียงพอต่อการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นคืนตลอดระยะเวลาที่ถือครองหรือไม่
  • การวิเคราะห์ความสามารถในการก่อหนี้ (Debt Capacity Analysis): การประเมินว่าบริษัทเป้าหมายสามารถรองรับหนี้สินได้มากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) กระแสเงินสด และสถานะทางการเงิน

|  การประเมินมูลค่าบริษัทเป้าหมาย:

โมเดล LBO มีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดมูลค่าของบริษัทเป้าหมายภายใต้สถานการณ์การเข้าซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ:

  • การประเมินมูลค่า ณ วันที่เข้าซื้อ (Entry Valuation): การกำหนดราคาซื้อที่เหมาะสมโดยใช้อัตราส่วนตัวคูณ (Multiples) (เช่น EV/EBITDA) กับตัวชี้วัดทางการเงินของบริษัทเป้าหมาย
  • การประเมินมูลค่า ณ วันที่ขาย (Exit Valuation): การคาดการณ์มูลค่ากิจการ (Enterprise Value) ของบริษัท ณ เวลาที่จะขายการลงทุน ซึ่งช่วยในการวางแผนกลยุทธ์การขาย ไม่ว่าจะเป็นการขายกิจการ การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) หรือการเข้าซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้อีกครั้ง

|  การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน:

หนึ่งในเป้าหมายหลักของโมเดล LBO คือการคำนวณผลตอบแทนที่เป็นไปได้จากการลงทุนสำหรับผู้ถือหุ้น (ซึ่งมักจะเป็นบริษัท Private Equity) ตัวชี้วัดสำคัญ ได้แก่:

  • อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return – IRR): อัตราผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ได้จากการลงทุน IRR เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญเนื่องจากคำนึงถึงมูลค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) และเป็นมาตรฐานสำหรับผลการดำเนินงานของ Private Equity
  • ตัวคูณผลตอบแทนจากการลงทุน (Multiple on Invested Capital – MOIC): วัดผลตอบแทนรวมเป็นจำนวนเท่าของเงินลงทุนเริ่มต้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดผลกำไรที่เข้าใจง่าย

|  การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์:

โมเดล LBO สนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์โดยช่วยให้นักลงทุนสามารถจำลองสถานการณ์ต่างๆ และผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามกลยุทธ์และสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งรวมถึง:

  • การวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity Analysis): การทดสอบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสมมติฐานหลักอย่างไร เช่น การประหยัดต้นทุน การเติบโตของรายได้ และตัวคูณ ณ วันที่ขาย (Exit Multiples)
  • การวางแผนตามสถานการณ์: การประเมินผลกระทบของสภาวะตลาดและการดำเนินงานที่แตกต่างกันต่อผลการดำเนินงานทางการเงินในอนาคตของบริษัท

|  การประเมินความเสี่ยง:

การประเมินและบริหารความเสี่ยงเป็นเป้าหมายที่สำคัญของโมเดล LBO ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับระดับของการใช้เงินกู้และความท้าทายในการดำเนินงานของบริษัทเป้าหมาย ซึ่งอาจรวมถึง:

  • การวิเคราะห์ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk Analysis): การประเมินความน่าจะเป็นที่บริษัทเป้าหมายจะไม่สามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันด้านหนี้สินได้
  • การทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Testing): การใช้สถานการณ์ทางการเงินและการดำเนินงานที่เลวร้ายที่สุดเพื่อทดสอบความทนทานของการลงทุนภายใต้สภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย

|  การปรับปรุงการดำเนินงานและการสร้างมูลค่า:

หลังการเข้าซื้อกิจการ โมเดล LBO สามารถใช้เพื่อติดตามและวางแผนการปรับปรุงการดำเนินงานและกลยุทธ์อื่นๆ ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งช่วยในเรื่อง:

  • การติดตามผลการดำเนินงาน (Performance Tracking): การตรวจสอบผลการดำเนินงานทางการเงินและการปฏิบัติการเทียบกับประมาณการของโมเดล
  • กลยุทธ์การเพิ่มมูลค่า (Value Addition Strategies): การระบุและประเมินผลกระทบเชิงปริมาณของประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การลดต้นทุน และโครงการริเริ่มเพื่อการเติบโตเชิงกลยุทธ์

วิธีการสร้างแบบจำลอง LBO: Guide ฉบับย่อทีละขั้นตอน

|  ขั้นตอนที่ 1: การประเมินมูลค่า ณ วันที่เข้าซื้อกิจการ (LBO Entry Valuation)

รากฐานของโมเดล LBO เริ่มต้นด้วยการคำนวณมูลค่าโดยนัย ณ วันที่เข้าซื้อ (Implied Entry Valuation) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดมูลค่ากิจการ (Enterprise Value) ณ วันที่เข้าซื้อ โดยการใช้ตัวคูณ ณ วันที่เข้าซื้อ (Entry Multiple) กับ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ของบริษัทเป้าหมาย ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ข้อมูล 12 เดือนล่าสุด (Last Twelve Months – LTM) หรือ 12 เดือนข้างหน้า (Next Twelve Months – NTM)

สูตร:

มูลค่า ณ วันที่เข้าซื้อ = EBITDA ณ ราคาซื้อ × ตัวคูณ ณ วันที่เข้าซื้อ 

(Entry Valuation = Purchase EBITDA x Entry Multiple)

ขั้นตอนนี้เป็นการกำหนดขนาดของภาระผูกพันทางการเงินและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างกรอบโครงสร้างของดีล LBO

|  ขั้นตอนที่ 2: ตารางแหล่งที่มาและแหล่งใช้ไปของเงินทุน

ต่อมาคือการสร้างตารางแหล่งที่มาและแหล่งใช้ไปของเงินทุน ตารางนี้จะแสดงรายละเอียดว่าการเข้าซื้อกิจการจะใช้เงินทุนจากแหล่งใด (แหล่งที่มา) และต้องใช้เงินทุนเท่าใด (แหล่งใช้ไป)

องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่:

  • แหล่งใช้ไป: เงินทุนทั้งหมดที่ต้องการ ซึ่งครอบคลุมราคาซื้อและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าที่ปรึกษาด้านการควบรวมกิจการ (M&A) ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย และค่าธรรมเนียมในการจัดหาเงินทุน
  • แหล่งที่มา: ซึ่งรวมถึงเงินทุนจากหนี้สินในหลายลำดับชั้น (หนี้สินที่มีหลักประกันและหนี้สินด้อยสิทธิ) เงินลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นจากผู้สนับสนุน (Sponsor Equity) และอาจรวมถึงเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เช่น หุ้นบุริมสิทธิ หรือ เงินกู้กึ่งทุนกึ่งหนี้ (Mezzanine Financing)

ยอดรวมของตารางนี้ต้องเท่ากัน (แหล่งใช้ไปทั้งหมด = แหล่งที่มาทั้งหมด) เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมมีความเป็นไปได้ทางการเงิน

|  ขั้นตอนที่ 3: การสร้างประมาณการทางการเงินและตารางหนี้สิน

การคาดการณ์ทางการเงินที่ครอบคลุมของบริษัทเป้าหมายจะถูกจัดทำขึ้นสำหรับช่วงเวลามาตรฐาน 5 ปีข้างหน้า ประมาณการนี้จะบูรณาการงบการเงินสามประเภทเพื่อแสดงให้เห็นว่าสมมติฐานของ LBO ส่งผลต่อทิศทางทางการเงินของบริษัทอย่างไร โดยเน้นเฉพาะการสร้างกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) ที่ใช้ในการชำระหนี้จากการเข้าซื้อกิจการ

ตารางหนี้สิน (Debt Schedule) มีความสำคัญอย่างยิ่งในขั้นตอนนี้ โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของการชำระคืนหนี้สิน ซึ่งรวมถึง:

  • การใช้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน (Revolver Operations)
  • การทยอยชำระคืนเงินต้น (Principal Amortisation)
  • การชำระคืนก่อนกำหนด (Optional Prepayments หรือ Cash Sweeps)
  • ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย

ตารางนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานทางการเงินทั้งหมดจะถูกบันทึกอย่างถูกต้องและกลยุทธ์การชำระคืนหนี้สินมีความเป็นไปได้

|  ขั้นตอนที่ 4: ตารางผลตอบแทนจากการขาย LBO (IRR และ MOIC)

การกำหนดกลยุทธ์การขาย (Exit Strategy) เกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่ากิจการ ณ วันที่ขาย (Exit Enterprise Value – EV) โดยอิงจากตัวคูณ EBITDA ณ วันที่ขาย (Exit EBITDA Multiple) ที่ตั้งสมมติฐานไว้ มูลค่ากิจการ ณ วันที่ขายจะช่วยคำนวณมูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้นสุดท้าย ซึ่งจะนำไปคำนวณตัวชี้วัดผลตอบแทนของ LBO เช่น อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) และตัวคูณผลตอบแทนจากการลงทุน (MOIC)

การคำนวณ:

  • มูลค่ากิจการรวม ณ วันที่ขาย = ตัวคูณ ณ วันที่ขาย × EBITDA ในปีที่ขาย
    • ในภาษาอังกฤษ: Exit Enterprise Value (TEV) = Exit Multiple × Exit Year EBITDA
  • มูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ขาย = มูลค่ากิจการรวม ณ วันที่ขาย – หนี้สินสุทธิ 
    • ในภาษาอังกฤษ: Exit Equity Value: Exit Enterprise Value (TEV) – Net Debt

ตัวชี้วัดเหล่านี้เป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จของการลงทุนตลอดระยะเวลาในเชิงปริมาณ

| ขั้นตอนที่ 5: ตารางวิเคราะห์ความอ่อนไหวของ LBO (LBO Sensitivity Analysis Table)

สุดท้าย คือการวิเคราะห์ความอ่อนไหวเพื่อประเมินความผันผวนของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ตามสถานการณ์การดำเนินงานที่แตกต่างกัน:

  • กรณีฐาน (Base Case): สถานการณ์ที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากที่สุด
  • กรณีดีที่สุด (Upside Case): สถานการณ์ในแง่ดี ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
  • กรณีเลวร้ายที่สุด (Downside Case): สถานการณ์ในแง่ร้าย ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

การวิเคราะห์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการ Private Equity ที่ซึ่งภาระหนี้สินจำนวนมากทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทเป้าหมายหลังการทำ LBO ค่อนข้างเปราะบาง

อุปสรรคและความท้าทายในการทำ LBO

  • แบบจำลองทางการเงินที่ซับซ้อน: การสร้างแบบจำลอง LBO ที่แม่นยำจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของบริษัทเป้าหมาย ตำแหน่งในตลาด และศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดที่ยั่งยืน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคำนวณและสมมติฐานที่ซับซ้อนเกี่ยวกับโครงสร้างหนี้และความสามารถในการชำระคืน
  • การตรวจสอบสถานะอย่างละเอียด: การตรวจสอบสถานะทางการเงินและการดำเนินงานของบริษัทเป้าหมายอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่ากิจการมีความอยู่รอด การมองข้ามจุดใด ๆ อาจนำไปสู่การก่อหนี้สินที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อความสำเร็จของการเข้าซื้อกิจการ
  • การวิเคราะห์ตลาดและอุตสาหกรรม: การทำ LBO จำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับภาพรวมของอุตสาหกรรมเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้อย่างแม่นยำ และประเมินตำแหน่งทางการแข่งขันของบริษัทเป้าหมาย
  • การกำหนดกลยุทธ์การขาย: การพัฒนากลยุทธ์การขายที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลตอบแทนจากการทำ LBO ซึ่งต้องอาศัยจังหวะเวลาของตลาดที่แม่นยำและความเข้าใจในปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าการลงทุนให้สูงสุด

Speeda สามารถช่วยได้อย่างไร

Speeda แพลตฟอร์มวิจัยข้อมูลธุรกิจแบบครบวงจร เหมาะอย่างยิ่งที่จะรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ผ่านชุดคุณสมบัติที่หลากหลาย:

  • ข้อมูลทางการเงินเชิงลึก: Speeda ให้การเข้าถึงตัวชี้วัดและข้อมูลทางการเงินของบริษัทมหาชนและบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์กว่า 10 ล้านแห่งทั่วทั้ง ASEAN-6 จีน เกาหลี และออสเตรเลีย ฐานข้อมูลขนาดใหญ่นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะและวิเคราะห์ทางการเงินได้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินมูลค่าบริษัทเป้าหมายและกำหนดโครงสร้างของดีล
  • ตัวกรองการค้นหาขั้นสูง: สำหรับการค้นหาดีล (Deal Sourcing) และการคัดกรองเป้าหมาย (Target Screening) ความสามารถในการค้นหาขั้นสูงของ Speeda ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Private Equity สามารถกรองบริษัทเป้าหมายที่เป็นไปได้ตามภูมิภาค อุตสาหกรรม และผลการดำเนินงานทางการเงิน วิธีการที่ตรงเป้านี้ช่วยในการระบุบริษัทที่เหมาะสมกับเกณฑ์ LBO มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีกระแสเงินสดที่มั่นคงและคาดการณ์ได้
  • รายงานอุตสาหกรรมฉบับสมบูรณ์: ด้วยการเข้าถึงรายงานวิจัยอุตสาหกรรมต้นฉบับกว่า 3,000 ฉบับ ผู้ใช้ Speeda สามารถรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาด ภาพรวมการแข่งขัน และภาพรวมอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว ข้อมูลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินความเหมาะสมเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเป้าหมายภายในอุตสาหกรรมและสำหรับการวางแผนกลยุทธ์หลังการเข้าซื้อกิจการ
  • การวิเคราะห์มูลค่าและดีล: ฐานข้อมูล M&A ทั่วโลกของ Speeda ช่วยในการระบุดีลที่เทียบเคียงได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการเปรียบเทียบตัวคูณ ณ วันที่เข้าซื้อและวันที่ขาย และทำความเข้าใจสภาวะตลาดในปัจจุบัน คุณสมบัตินี้สนับสนุนขั้นตอนที่สำคัญของการคาดการณ์ทางการเงินและการกำหนดกลยุทธ์การขายในกระบวนการ LBO
  • การสนับสนุนการตรวจสอบสถานะ: ความครอบคลุมของข้อมูลบนแพลตฟอร์มช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะทางการค้าและการเงินได้อย่างครอบคลุม ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินโดยละเอียดของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ลูกค้า และคู่ค้าที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมได้
  • เครื่องมือวิเคราะห์ความอ่อนไหว: เครื่องมือวิเคราะห์ของ Speeda ช่วยอำนวยความสะดวกในการวิเคราะห์ความอ่อนไหวโดยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแบบจำลองสถานการณ์ต่างๆ ตามสภาวะตลาดและผลการดำเนินงานของบริษัทที่แตกต่างกันได้ ความสามารถนี้มีค่าอย่างยิ่งสำหรับการประเมินโปรไฟล์ความเสี่ยงและผลตอบแทน (Risk-Return Profile) ของ LBO ที่มีศักยภาพและเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน

ด้วยการนำ Speeda มาใช้ในกระบวนการวิเคราะห์และดำเนินการ LBO บริษัท Private Equity, Venture Capitalist และที่ปรึกษาด้าน M&A สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้อย่างมีนัยสำคัญ แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขั้นตอนที่ต้องใช้แรงงานมากในการทำธุรกรรม LBO แต่ยังมอบความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเป็นหลักและมีข้อมูลประกอบ สำหรับมืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ที่มีความเสี่ยงสูง Speeda นำเสนอเครื่องมือที่จำเป็นในการรับมือกับความซับซ้อนของ LBO ด้วยความมั่นใจและแม่นยำ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการเริ่มทดลองใช้ฟรี กรุณาเยี่ยมชมเว็บ Speeda

- Recommended Content

Recommended Content For You